กฎหมายค้ำประกันใหม่ที่ควรรู้

กฎหมายค้ำประกัน

กฎหมายค้ำประกันที่แก้ไขใหม่ ฉบับที่ 20 มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมานี้ หลายคนยังไม่รู้ว่ากฎหมายใหม่ที่ว่านี้ มีผลอย่างไรบ้างกับชีวิตของเรา 

          กฎหมายค้ำประกันใหม่  มีผลทำให้ ต่อไปนี้ผู้ค้ำประกันจะได้รับการคุ้มครองสิทธิและความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดในภาระหนี้สินแทนลูกหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินต้น ดอกเบี้ยที่เกิดจากการผิดนัด ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบโดยที่ผู้ค้ำประกันไม่รู้เลยว่าลูกหนี้ไม่ได้จ่ายเงิน พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าหนิ้สินนั้นเพิ่มขึ้นมากมายก่ายกองกว่าตอนแรกเยอะเลย  หรือกรณีสัญญาที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ร่วม ผลทำให้เจ้าหนี้จะเรียกเงินจากฝ่ายไหนก่อนก็ได้

แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ใช้บังคับ ผู้ค้ำประกันจะได้รับการคุ้มครองดังนี้
– การค้ำประกันหนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข (เช่น ความเสียหายที่เกิดจากการค้ำประกันบุคคล) ต้องกำหนดรายละเอียดของหนี้และขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน รวมทั้งจำกัดความรับผิดของผู้ค้ำประกันไว้เฉพาะหนี้ตามสัญญานั้น  (จะต้องระบุว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบใน วงเงินไม่เกินเท่าไร)
– กำหนดให้ข้อตกลงที่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ (สัญญาค้ำประกันที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ร่วมไม่มีผลใช้บังคับ ผลคือเจ้าหนี้จะต้องไปเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน จนก็กระทั่งลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้วจึงค่อยมีเรียกร้องกับผู้ค้ำประกัน)
– กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากบทบัญญัติลักษณะค้ำประกันเป็นภาระแก่ผู้ค้ำประกันเกินสมควร ให้ข้อตกลงนั้นมีผลเป็นโมฆะ (จะกำหนดสัญญานอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ ที่ทำให้ผู้ค้ำประกันเสียเปรียบไม่ได้)
– เพิ่มเติมหน้าที่ของเจ้าหนี้ให้ต้องแจ้งผู้ค้ำประกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัด และผลกรณีเจ้าหนี้มิได้บอกกล่าว และกำหนดให้สิทธิแก่ผู้ค้ำประกันในการชำระหนี้ที่ถึงกำหนดได้ (ผลคือเวลาลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกัน ภายใน 60 วัน เพื่อที่ผู้ค้ำฯจะชำระหนี้ เพื่อไม่เกิดดอกเบี้ยในกรณีผิดนัด โดยที่ผู้ค้ำฯไปเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้ภายหลัง หากไม่แจ้งผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดชอบ)
– ให้ผู้ค้ำประกันได้รับประโยชน์จากการที่เจ้าหนี้กระทำการใดๆ อันมีผลเป็นการลดจำนวนหนี้ให้แก่ลูกหนี้ด้วย รวมทั้งกำหนดให้ข้อตกลงที่เป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ค้ำประกันเป็นโมฆะ (ถ้าเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้ก็มีผลถึงผู้ค้ำประกัน แต่ถ้าเป็นผลเสียแก่ผู้ค้ำจะใช้บังคับไม่ได้ )
– กำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้อันมีกำหนดเวลาแน่นอน หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ และห้ามกำหนดข้อตกลงไว้ล่วงหน้าให้ผู้ค้ำประกันยินยอมที่จะเป็นประกันหนี้นั้นต่อไป แม้ว่าเจ้าหนี้จะผ่อนชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้แล้ว (ผลคือ การขยายเวลาการชำหนี้ หรือการปรับโครงสร้างหนี้จะต้องขอความยินยอมจากผู้ค้ำฯ  มิฉะนั้นผู้ค้ำจะพ้นจากการเป็นผู้ค้ำทันที)

Kritdeka

สำหรับกฎหมายใหม่นี้ ก็คงจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางการเงิน บรรดาลูกหนี้ และผู้ค้ำประกัน ก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวกันไป

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : กฎหมายและคดี กรุงเทพมหานคร

กฤตฎีกา

การให้โดยเสน่หาผุ้ให้ฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้รับ มีหลักเกณฑ์อย่างไร?

การฟ้องถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 513 ได้บัญญัติไว้ว่า  ผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณได้ใน 3 กรณีต่อไปนี้คือ

1.ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา

เช่น  การที่มารดาให้ที่ดินบุตร  ต่อมาบุตรทำร้ายร่างกายมารดาตนเองได้รับอันตรายแก่กายมารดาย่อมฟ้องถอนคืนการให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกา 412 / 2528 การที่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ผู้เป็นมารดาจนได้รับอันตรายแก่กายย่อมเป็นการแสดงว่าจำเลยขาดความกตัญญูอยู่แม้โจทก์จะได้รับบาดเจ็บไม่สาหัสก็ถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโดยประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 513 (1) แล้วโจทก์จึงเรียกถอนคืนการให้ได้

กฤตฎีกา

2.ผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือ หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง  ซึ่งเป็นกรณีที่มีการกล่าวอ้างในฟ้องเกิดขึ้นบ่อยที่สุด เช่น

ฎีกาที่ 1078 / 2553 ถ้อยคำที่จำเลยดาว่าโจทก์ว่า อีแก่ไม่ยุติธรรมมึงทำให้ครอบครัวกูแตกแยกกูจะไม่อยู่กับมึงแล้ว  เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นโจทก์ซึ่งเป็นอา จำเลยเรียกโจทย์ว่าอีแก่ขึ้นมึงขึ้นกูกับโจทก์ย่อมทำให้โจทก์อับอายเสียชื่อเสียงและเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 513 (2) โจทก์ย่อมเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้

ฎีกาที่ 3502 / 2535 หมิ่นประมาทตามมาตรา 3531 (สอง) หาจำต้องถึงกลับเป็นความผิดหมิ่นประมาททางอาญาไม่เพียงแต่ได้ความว่าเจตนาดูหมิ่นก็ถือว่าประพฤติเนรคุณแล้ว จำเลยซึ่งได้รับการให้ที่ดินจากโจทก์ผู้เป็นบิดาด่าว่าโจทก์ว่าไอ้แก่กูไม่นับถือมึงเป็นพ่อออกไปให้พ้นไม่ไปมึงตายกูไม่รับรู้เป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่นโจทก์เรียกตรวจว่าไอ้แกขึ้นมึงขึ้นกูกับโจทย์ว่าไม่นับถือโจทก์เป็นบิดาขับไล่โจทก์ออกไปให้พ้นมิ ฉะนั้นโจทก์ตายจำเลยไม่รับรู้ย่อมทำให้โจทก์อับอายเสียชื่อเสียงและเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้ถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ

หรือฎีกาที่ 4037 / 25464 ดาโจทก์ว่าข้าวปลาอาหารที่เหลือเทให้หมากินดีกว่าจากไปให้อีแก่กิน

980 / 2550 พูดว่าบักหมามึงแก่แล้วพูดจากลับไปกลับมาเหมือนเด็กเล่นขายของมึงไม่มีสินละทำมึงไปตายที่ไหนก็ไปถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง

ข้อสังเกตเหตุ  ถอนคืนการให้ตามอนุมาตรานี้ไม่จำเป็นต้องถึงกับเป็นการหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาแต่เพียงแค่คำ ด่าทอในลักษณะดูหมิ่นใช้คำหยาบคายเหยียดหยามหรือคำไม่สุภาพเท่านั้นแหละก็ถือเป็นเหตุประพฤติเนรคุณตามอนุมาตรานี้แล้ว

     แต่หากเป็นการโต้ตอบทะเลาะวิวาทซึ่งกันและกันต่างคนต่างด่ากันเพราะผู้ให้เป็นฝ่ายก่อเหตุจะถือเป็นเหตุประพฤติเนรคุณไม่ได้

คำพิพากษาฎีกา 1953 / 2537 โจทก์มีความสัมพันธ์กับจำเลยในฐานะผู้อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันเท่านั้นการที่โจทก์และจำเลยทะเลาะกันและต่างคนต่างด่ากันเป็นเพราะโจทก์เป็นฝ่ายกอและจำเลยด่าโต้ตอบเพราะถูกจอดคมเฮงน้ำใจ อย่างรุนแรงเช่น นี้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงเพื่อเป็นเหตุเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณหาได้ไม่

แต่หากเป็นเพียงคำพูดจากระทบกระเทียบที่จำเลยไม่สมควรใช้กับโจทก์ซึ่งเป็นบุพการีเท่านั้นโดยกล่าวกับโจทย์ว่าหัวหงอกหัวขาวตายนานนั้น ถ้อยคำไม่ใช่คำด่าไม่เป็นเหตุประพฤติเนรคุณฎีกาที่ 1527 / 2534

3.ผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้

Kritdeka

คำพิพากษาของศาลย่อมเป็นอันเด็ดขาด

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น